Loading

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30น.วันนี้ (7 พ.ย.) ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานรีไซเคิลพลาสติกซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ม. 7 ต.มะขามคู่ อ.นิคมพัฒนา จ.ระยอง จนทำให้เกิดกลุ่มควันสีดำพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าจนสามารถมองเห็นได้ในระยะไกล

หลังเกิดเหตุ ร.ต.อ.สุริยา กุลบุญมา พนักงานสอบสวน สภ.นิคมพัฒนา ได้ประสานรถดับเพลิงเทศบาลตำบลมะขามคู่ และรถดับเพลิงจากเทศบาลใกล้เคียง พร้อมเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างพรกุศล เข้าระงับเหตุ

พบจุดเกิดเหตุเป็นโรงงานหลอมเม็ดพลาสติกขนาดใหญ่ชั้นเดียวบนเนื้อที่หลายไร่ เจ้าหน้าที่ต้องเร่งระดมฉีดน้ำดับสกัดเพลิงที่กำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง ใช้เวลานับชั่วโมงจึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ แต่ก็พบว่ โครงสร้างอาคารบางส่วนได้เกิดการทรุดตัว
เนื่องจากรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าฉีดน้ำสกัดเพลิงภายในโรงงานได้ นอกจากนี้ยังทำให้เครื่องจักรถูกเพลิงเผาไหม้จนได้รับความเสียหายทั้งหมด แต่ยังโชคดีที่ขณะเกิดเหตุไม่มีพนักงานทำงานเนื่องจากเป็นวันหยุด จึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้ต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมมลพิษ จ.ระยอง พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามโรงงานแห่งนี้เคยเกิดเพลิงไหม้มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อน.

Loading

รมช.กระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง พื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง กระตุ้นสถานประกอบการปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting อย่างเคร่งครัด ลดการติดและแพร่เชื้อของโควิด-19

เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (7 พ.ย.64) นายสาธิต ปิตุเตช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นำเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ขับเคลื่อนนโยบายเปิดประเทศด้วยมาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร (COVID Free Setting) ด้านการท่องเที่ยวและกิจการที่เกี่ยวข้อง ที่เกาะเสม็ด ม.4 ต.เพ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง เพื่อกระตุ้นแหล่งท่องเที่ยวนำร่อง เข้มมาตรการ COVID Free Setting โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มดีขึ้น และรัฐบาลได้มีนโยบายเปิดประเทศตั้งแต่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยวที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศ กระทรวงสาธารณสุขได้เน้น 4 หลักสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ได้ และประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่ ได้แก่ 1) การฉีดวัคนให้ครอบคลุมได้ตามเป้าหมาย 2) การป้องกันตนเองขั้นสูงสุดตลอดเวลา 3) กิจการกิจกรรมเข้มมาตรการ COVID Free Setting และ 4) การตรวจหาเชื้อเมื่อมีความเสี่ยงด้วย ATK โดยการลงพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ในครั้งนี้ เนื่องจากเป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวที่มีความพร้อม สามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ จึงต้องเน้นย้ำให้สถานประกอบการบนเกาะเสม็ดที่ได้รับคำแนะนำจากกรมอนามัย จำนวน 92 แห่ง ปฏิบัติตามมาตรการ COVID Free Setting อย่างเคร่งครัด 3 ด้าน ได้แก่ 1) COVID Free Environment สิ่งแวดล้อมปลอดภัย 2) COVID Free Personnel พนักงานปลอดภัย และ 3) COVID Free Customer ผู้ใช้บริการปลอดภัย
“ทั้งนี้ สถานประกอบการที่ยังไม่ได้ประเมินตามมาตรการ COVID Free Setting สามารถประเมินตนเองได้ผ่านช่องทางเว็บไซต์stopcovid.anamai.moph.go.th

โดยทุกสถานประกอบการที่ประเมินผ่าน สามารถพิมพ์ใบรับรองผล เพื่อติดไว้หน้าร้าน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ได้แก่ 1) ใบรับรอง Thai Stop COVID Plus (TSC+) ซึ่งสถานประกอบการทุกแห่งในทุกจังหวัดต้องประเมินตนเองตามมาตรการ TSC+ 2) ใบรับรอง COVID Free Setting (CES หรือ TSC2+) เฉพาะจังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวรองรับการเปิดประเทศ หรือจังหวัดที่จะนำเอามาตรการไปปรับใช้ โดยให้สถานประกอบการเลือกประเมิน COVID Free Setting ซึ่งต้องผ่านการประเมิน TSC+ ก่อน เพื่อสามารถประเมิน COVID Free Setting ต่อไป และ 3) สติ๊กเกอร์ COVID Free Setting ประเมินโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กำหนด ตามที่มีการแจ้งความประสงค์จากสถานประกอบการ
สำหรับช่องทางภาคประชาชนเพื่อประเมินสถานประกอบการ สามารถดำเนินการใน 3 ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางที่ 1 สแกน QR Code ใน E-Certificate ของสถานประกอบการที่ไปใช้บริการ ช่องทางที่ 2 ประเมินผ่านทางเว็บไชต์ Thai Stop COVID Plus ของกรมอนามัย และ ช่องทางที่ 3 ประเมินผ่านทางเฟสบุ๊กแฟนเพจ ผู้พิทักษ์อนามัย COVID Watch”

ทางด้าน นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมอนามัยได้ดำเนินการพัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม Thai Stop COVID plus (TSC+) เพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับผู้ประกอบการประเมินตนเองตามมาตรการป้องกันโควิด-19 และ ไทยเซฟไทย เพื่อคัดกรองอาการเสี่ยงของโรคโควิด-19 พร้อมมีข้อแนะนำสำหรับการลดความเสี่ยงแต่ละระดับ โดยข้อมูล ณ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 มีสถานประกอบการประเมินตนเองในระบU Thai Stop COVID Plus (TSC+) จำนวน 64,415 แห่ง ผ่านการประเมิน จำนวน 58,156 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 90.28 ประเมินตนเองตามมาตรการ COVID Free Setting จำนวน 6,883 แห่ง ผ่านการประเมิน จำนวน 6,610 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 99.03 และมีการประเมินไทยเชฟไทยแล้ว จำนวน 7,882,867 ครั้ง
“สำหรับนักท่องเที่ยวขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ของพื้นที่นั้น ๆ อย่างเคร่งครัดเช่นกัน และคุมเข้มตนเองขั้นสูงสุด Universal Prevention ด้วยการเว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1 เมตร สวมหน้ากากอนามัย และทับด้วยหน้ากากผ้า ใส่ให้แนบสนิทกับใบหน้า ปิดทั้งจมูกและปากตลอดเวลา หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังสัมผัสสิ่งของร่วมกันกับผู้อื่น ให้หลีกเสี่ยงการใช้มือสัมผัสหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าที่สวมใส่อยู่ รวมทั้งใบหน้า ตา ปาก จมูก โดยไม่จำเป็น ทำความสะอาดและฆ่าชื้อพื้นผิวที่ถูกสัมผัสบ่อย ๆ หากมีความเสี่ยงให้แยกตัวจากผู้อื่น และตรวจหาเชื้อเบื้องต้นด้วย ATK หากตรวจแล้วไม่พบเชื้อ ให้ตรวจช้ำหลังจากตรวจครั้งแรก 3 – 5 วัน หรือเมื่อมีอาการ”.

Loading

กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างความเข้าใจและความตระหนักรู้แก่ประชาชนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมนำเสนอแนวทางการแก้ไขและรับมือกับวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น ผ่านละครสั้นชุด “ใครเปลี่ยนโลก” เผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ หวังช่วยสร้างแรงผลักดัน และขับเคลื่อนสังคมให้ตระหนักรู้ถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาในทุกด้านของประเทศ รวมทั้งการดำเนินชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสำคัญทั่วโลก เพราะส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพยากรเป็นวงกว้าง และกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งกระบวนการสร้างการรับรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศนั้น จําเป็นที่จะต้องสร้างให้เกิดขึ้นครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงประชาชน ทั่วไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงสาเหตุและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางการตั้งรับปรับต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หรือปัญหาภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้มีแนวคิดในการจัดทำสื่อการเรียนรู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและเหมาะสมกับทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านคลิปหรือละครสั้น ชุด “ใครเปลี่ยนโลก” เพื่อเผยแพร่สู่สาธารณะอย่างกว้างขวางผ่านช่องทางสื่อออนไลน์
ละครสั้นชุด “ใครเปลี่ยนโลก” เป็นละครที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาและเกิดขึ้นในทุกวันจนหลายคนต่างเคยชิน แต่พฤติกรรมเหล่านี้กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งผลกระทบตามมามากมายอย่างคาดไม่ถึง โดยสื่อสารผ่านตัวละคร “หมีขาว” หรือ “หมีขั้วโลก” ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นเสมือนตัวแทนของสิ่งมีชีวิตที่ต่างกำลังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ “เด็กหญิง” ซึ่งเป็นตัวแทนของมนุษย์ หรือผู้คนในปัจจุบัน ที่กำลังดำเนินชีวิตโดยมีพฤติกรรมบางอย่างที่เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนำเสนอเรื่องราวใน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 “หมีจะไม่ทน” กล่าวถึงพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่กลับเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตอนที่ 2 “โลกเปลี่ยน ทุเรียนแพง” กล่าวถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับการทำเกษตร ที่เชื่อมโยงไปถึงการผลิตอาหาร และตอนที่ 3 “โลกเปลี่ยน โรคเปลี่ยน” ที่กล่าวถึงโรคอุบัติใหม่ หรือโรคอุบัติซ้ำ ที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


ทั้งนี้ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใน 2 รูปแบบ คือ สภาวะสุดขั้วของลมฟ้าอากาศ หรือ Extreme Weather Event ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์แบบฉับพลัน เช่น ภัยพิบัติน้ำท่วม ภัยแล้ง วาตภัย และการเกิดคลื่นความร้อน เป็นต้น และสภาวะหรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือ Slow Onset Event ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ และถือเป็นภัยคุกคามจากปรากฏการณ์โลกร้อนที่น่ากลัวมากที่สุด เช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การละลายของน้ำแข็งขั้วโลกที่ส่งผลทำให้ระดับทะเลเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ทะเลทรายแห้งแล้ง สภาพดินที่เปลี่ยนแปลงไป น้ำทะเลกลายเป็นกรด เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์เหล่านี้กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หากทุกประเทศไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา
ติดตามชมผลงานวีดิทัศน์เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ชุด “ใครเปลี่ยนโลก” ได้ทางเว็บไซต์กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม https://www.deqp.go.th และเฟซบุ๊กเพจ Climate Change ใครเปลี่ยนโลก.

Loading

ศึกษาธิการจังหวัดระยอง จัดพิธีมอบรางวัลคุณากร รางวัลครูยิ่งคุณ และรางวัลครูขวัญศิษย์ ปี 2564 เชิดชูครูผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงชีวิตลูกศิษย์และมีคุณูปการต่อวงการศึกษา

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 3 พ.ย.ที่ห้องประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูระยอง จำกัด ต.เชิงเนิน อ.เมือง จ.ระยอง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลคุณากร รางวัลครูยิ่งคุณ และรางวัลครูขวัญศิษย์ ปี 2564 จังหวัดระยอง ของมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี แก่ น.ส.พนิตนาฏ ลายสังข์ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านยางเอน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 ต.ห้วยทับมอญ อ.เขาชะเมา โดยมีสิบโทไชยยันต์ เกิดเหมาะ ศึกษาธิการจังหวัดระยอง ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ คณะครู เข้าร่วมพิธีและแสดงความยินดี ทั้งนี้เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา โดยพระองค์มีพระราชานุญาตให้จัดตั้ง “รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี” ขึ้นในปี พ.ศ.2557

ซึ่งรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีดังกล่าว เป็นรางวัลที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานเชิดชูครูผู้มีความทุ่มเท เสียสละ สร้างความเปลี่ยนแปลงชีวิตลูกศิษย์ เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เพื่อนครูและมีคุณูปการต่อวงการศึกษาประเทศต่างๆ ในอาเซียน และติมอร์เลสเต รวม 11 ประเทศ.

Loading

สาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับผู้ประกอบการนวดและสปากว่า 57 ประเทศทั่วโลก และไอคอนสยาม
เชิดชูมรดกภูมิปัญญานวดไทย สมุนไพร และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

วันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา ที่มีสมาชิกกว่า 57 ประเทศทั่วโลก และไอคอนสยาม ร่วมแถลงความร่วมมือใน “โครงการแลนด์มาร์คนวดไทย” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนไทย” แสดงศักยภาพ ความพร้อม ในการร่วมสืบสาน ต่อยอด ภูมิปัญญานวดไทย สมุนไพรไทย และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ บรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการ และร่วมกันร่วมผลักดันและยกระดับมาตรฐานให้ประเทศไทย เป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB)

นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ผลกระทบจากโควิด19 ได้สร้างจุดเปลี่ยนให้ผู้บริโภคใส่ใจในการดูแลสุขภาพทั้งตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น นับเป็นโอกาสของการประชาสัมพันธ์ส่งเสริมนำมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรม “นวดไทย” ศาสตร์บำบัดและรักษาโรคแขนงหนึ่งของการแพทย์แผนไทย ให้เป็นส่วนหนึ่งในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพทั่วโลก ภูมิปัญญาการนวดไทย เป็นศาสตร์และศิลป์มรดกภูมิปัญญาที่ได้รับการสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ปัจจุบันมีองค์กรต่างๆ ที่ส่งเสริมและพัฒนาการนวดไทย กว่า ๕๐ องค์กร รวมไปถึงองค์กรภาควิชาชีพ สถาบันการเรียนการสอน และสถานประกอบการเพื่อสุขภาพทั่วประเทศ อีกทั้งเครือข่ายความร่วมมือจากสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปาที่มีสมาชิกกว่า 57 ประเทศทั่วโลก
โครงการ “แลนด์มาร์คนวดไทย” จึงเป็นโครงการที่จะจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้ประกาศขึ้นทะเบียนนวดไทย มรดกวัฒนธรรมอันล้ำค่าของไทย เป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ นอกจากนี้ยังถือเป็นโอกาสที่จะได้ประชาสัมพันธ์การนวดไทยและสมุนไพรไทยในการดูแลและฟื้นฟูสุขภาพทั่วโลก รวมถึงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดรายได้แก่ผู้ประกอบการและเครือข่ายด้านการนวดไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนนำอัตลักษณ์เสน่ห์แห่งมรดกภูมิปัญญาไทยที่สืบสานจากรุ่นสู่รุ่นมาต่อยอด และประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and wellness Tourism) กิจกรรมภายในงาน อาทิ สาธิตศาสตร์การนวดและการแพทย์แผนไทย เพื่อสร้างการรับรู้ถึงประวัติความเป็นมา คุณค่าสาระของนวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ, ฝึกอบรมการนวดไทยของบรมครูด้านการนวดและกลุ่มภาคีเครือข่ายนวดไทยชั้นนำจากทั่วทุกภูมิภาคของไทย ซึ่งจะทำให้เข้าใจถึงอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของภูมิปัญญาการนวดไทยในแต่ละภูมิภาค, การแข่งขันนวดไทยชิงแชมป์โลก ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมกว่า ๒๕ ประเทศทั่วโลก เป็นต้น

ด้านนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในการสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) เป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนสร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างการเติบโตในภาคการท่องเที่ยวและบริการอย่างยั่งยืน เพิ่มความหลากหลายของการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆรวมทั้งการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ร่วมขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2564 ซึ่งจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยมีโอกาสขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยได้มีการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เป็นไปตามแผนแม่บทภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นการท่องเที่ยวโดยได้มีการเร่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีคุณภาพในระดับ Hi – End ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและใช้สินค้าและบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย รวมทั้งเร่งสนับสนุนผู้ประกอบการและหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวปรับตัวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวยุคใหม่ เช่น การเชื่อมโยง ผู้ประกอบการ Startup กับผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาแอพพลิเคชั่น การผลักดันการนำสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีมาสู่แถวหน้าด้วยเทคโนโลยีไร้สัมผัส สร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศด้วยการส่งเสริมมาตรฐาน SHA การส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวใหม่ๆ การส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวแบบระยะสั้น เพิ่มความเข้มข้นในด้านความปลอดภัย ยกระดับการให้ความสำคัญกับสุขภาพและอนามัย เป็นต้น เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งจัดทำมาตรฐาน SHA (Safety & Health Administration) และ SHA Plus เพื่อตอบสนองนโยบายเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการสถานประกอบการในประเทศไทย เกิดความมั่นใจในการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไตรมาส 4 (ตุลาคม ถึง ธันวาคม) ปี 2564

สำหรับการประชาสัมพันธ์กระตุ้นการท่องเที่ยวนั้น นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดแคมเปญ “BLUE ZONE” (Business & Leisure Ultimate Experiences) “เที่ยวปลอดภัย ประสบการณ์เหนือใคร” ด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยเพื่อการท่องเที่ยว รักษาสมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ เป็นกลไกช่วยให้กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ตอบโจทย์การเปิดประเทศ สนับสนุนการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยกำหนดเป็นพื้นที่สีฟ้าให้กับจังหวัดนำร่องเพื่อการท่องเที่ยว
ด้าน ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมเตรียมการเปิดประเทศ และได้ริเริ่มและขับเคลื่อนโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยว อาทิเช่นสุขภาพดีวิถีใหม่ Living with COVID 19 ดูแลสุขภาพประชาชนให้เข้าสู้สุขภาพดีวิถีชีวิตปกติ และเร่งยกระดับมาตรฐานป้องกันควบคุมโรค COVID Free Setting เพื่อรองรับการเปิดประเทศ เช่น สตรีทฟู๊ด โรงแรม ร้านอาหาร สถานประกอบการ เป็นต้น สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยนำศักยภาพความแข็งแกร่งด้านระบบบริการสุขภาพของประเทศ และนวดไทยเป็นจุดขาย เชื่อมโยงช่องทางเครือข่ายการตลาดและการใช้สมุนไพรทั้งในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สมุนไพร การบริการ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ
ด้านนางชุติมา แฮล์ก ประธานสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สถานประกอบการด้านความงาม สุขภาพ ร้านนวดแผนไทยและสปา ต้องหยุดให้การบริการอย่างยาวนาน และส่วนหนึ่งต้องปิดกิจการอย่างถาวร เนื่องจากรับภาระค่าใช่จ่ายไม่ไหว ส่งผลให้ผู้ประกอบการได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก ในฐานะผู้ประกอบการนวดที่อยู่ต่างแดน และประธานสมาพันธ์โลกนวดไทยและสปา ปัจจุบันเรามีสมาชิกอยู่ 57 ประเทศทั่วโลกจึงได้รวมตัวกันเพื่อ แลกเปลี่ยนทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ แนวคิดการบริการรูปแบบใหม่ๆ สร้างมาตรฐานและความเชื่อมั่นในระดับสากล อาทิ การนวดกระตุ้นภูมิคุ้มกัน นวดระบายน้ำเหลืองช่วยให้ภูมิคุ้มกันมากขึ้น นวดธาตุเจ้าเรือน เป็นต้น รวมทั้งยังจัดฝึกอบรมทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อกระตุ้นสร้างความเชื่อมั่นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยและชาวต่างชาติที่หลงไหลในเสน่ห์ของศาสตร์การแพทย์แผนไทย ต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมผลักดันโครงการแลนด์มาร์คนวดไทย ผู้ประกอบการทุกคนรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง และยินดีร่วมกันประชาสัมพันธ์นวดไทยเพื่อ สร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และส่งต่อเสน่ห์ของมรดกภูมิปัญญาไทยให้กับชาวต่างชาติต่อไป
ด้านนายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวว่า ไอคอนสยาม มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนร่วมสนับสนุนการจัดงาน โครงการแลนด์มาร์คนวดไทย มรดกแห่งภูมิปัญญาไทยสู่สากล เป็นศาสตร์ทรงคุณค่าที่สืบทอดกันมายาวนาน รวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่จะช่วยในการบำบัด รักษาและผ่อนคลายจากอาการปวดเมื่อยต่างๆ ซึ่งงานนี้นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการและกลุ่มวิชาชีพนวดไทยให้มีรายได้แล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนา และต่อยอดผลิตภัณฑ์ การบริการ ส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมไทยอีกด้วย งาน แลนด์มาร์คนวดไทย จะทำให้ชาวไทยและทั่วโลกได้เห็นและสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมแห่งภูมิปัญญาของไทย ร่วมเชิดชูเรื่องราวอันมีคุณค่าทุกมิติของความเป็นไทย ให้คนไทยได้ภาคภูมิใจ และส่งต่อเสน่ห์อัตลักษณ์ไทยไปสายตาของนานาชาติต่อไปสู่สากล นับเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับปณิธานของไอคอนสยาม ที่เชิดชูเรื่องราวอันมีคุณค่าและเป็นความภาคภูมิใจจากทุกมิติของความเป็นไทย
โครงการแลนด์มาร์คนวดไทย มีกำหนดการจัดกิจกรรมในเดือนธันวาคม 2564 โดยมุ่งประชาสัมพันธ์มรดกภูมิปัญญาไทย สมุนไพรไทย และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพื่อสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างอาชีพ และเพื่อตอกย้ำและร่วมผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (MEDICAL HUB) ผู้สนใจสามารถติดตามกิจกรรมโครงการได้ที่ Facebook Landmark Nuad Thai

Loading

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.64 นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ได้เปิดเผยถึงกรณีรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆ รวมถึงการเปิดประเทศ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติว่า รัฐบาลได้เปลี่ยนจากนโยบายการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ โดยการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรค เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนเดินหน้าไปได้ ให้พี่น้องประชาชนกลับมาทำมาหากินประกอบอาชีพให้ใกล้ปกติมากที่สุด ในส่วนของจังหวัดระยอง เป็น 1 ใน 17 จังหวัด”พื้นที่สีฟ้า”เริ่มนำร่องให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวได้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้นั้น จังหวัดระยอง มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีของนักท่องเที่ยวคือ เกาะเสม็ด ซึ่งเป็นจุดรับนักท่องเที่ยวแบบ “แซนด์บ็อกซ์” โดยจังหวัดได้มีมาตรการในการป้องกันตามกระทรวงสาธารณสุขเตรียมพร้อมรองรับแล้ว ขณะเดียวกันประชาชนชาวเกาะเสม็ด ก็ได้มีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบ 100 เปอร์เซ็นแล้ว ส่วนประชาชนชาวตำบลเพ อ.เมืองระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เป็นท่าเทียบเรือข้ามฟากไปยังเกาะเสม็ด ขณะนี้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่าร้อยละ 70 ซึ่งได้มีการป้องกันเต็มที่


อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันตนเองให้รอดพ้นจากโรคโควิด-19 จากการที่รัฐบาลเปิดประเทศครั้งนี้ ก็ขอให้ทุกคนได้มีวินัยดูแลตนเองตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการเว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และมั่นล้างมือบ่อยๆ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ควบคู่กับการฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคหากเกิดการติดเชื้อ.

Loading

จังหวัดระยองทำพิธีรับพระราชทานหนังสือ “เรื่องเล่าชาวคชานุรักษ์” ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด และนายอำเภอที่เกี่ยวข้อง ส่งต่อไปยังประชาชนในพื้นที่

       เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564 ที่ศาลากลางจังหวัดระยอง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานพิธีมอบหนังสือ “เรื่องเล่าชาวคชานุรักษ์” แก่หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และนายอำเภอในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า โดยมี นายยุทธพล  องอาจอิทธิชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายพิศ นันทพูนพิพัฒน์ พัฒนาการจังหวัดระยอง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิธี

     ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ โดยมีสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา  เป็นองค์ประธานกรรมการ ทั้งนี้ โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการแก้ไขปัญหา การอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับช้างป่า ซึ่งได้ดำเนินโครงการมาครบ 2 ปี การนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพฤติกรรมช้างป่า จึงได้จัดพิมพ์หนังสือ “เรื่องเล่าชาวคชานุรักษ์” เพื่อพระราชทานแก่หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและนายอำเภอ นำส่งมอบต่อให้กับผู้นำชุมชน กลุ่ม องค์กร และหน่วยงานที่อยู่ในความรับผิดชอบในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากช้างป่า โดยพระราชทานหนังสือ “เรื่องเล่าชาวคชานุรักษ์” ให้จังหวัดระยองครั้งนี้ จำนวน 2,100 เล่ม…..0000

Loading

เทศบาลตำบลทับมา รับรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่น ด้านสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2564 หลังนำนวัตกรรมการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจรสู่เมืองสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนมาใช้ในพื้นที่จนเห็นเป็นรูปธรรม

        เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 29 ต.ค.64 ที่ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดระยอง ต.เนินพระ อ.เมือง จ.ระยอง นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในการมอบเกียรติบัตรและเงินรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่น ประจำปี 2564 จำนวน 7 ด้าน มีด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา การพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น การพัฒนาและส่งเสริมคุณภาพผู้สูงอายุ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน สาธารณสุข และการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดระยอง 8 แห่ง ทั้งนี้เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับคัดเลือกให้สามารถพัฒนาพัฒนาต่อไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เทศบาลตำบลทับมา ได้รับเกียรติบัตรและเงินรางวัลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดีเด่น ด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 232,653 บาท มีนายประเสริฐ วงษ์ศรี นายกเทศมนตรีตำบลทับมา รับมอบ

        นายประเสริฐ วงษ์ศรี นายกเทศมนตรีตำบลทับมา กล่าวว่า เทศบาลตำบลทับมา ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการเวส ว๊าว ทับมา ทัวริสซึ่ม เฮลธ์(Waste Wow Thapma Tourism & Health)สู่เมืองสิ่งแวดล้อมน่าอยู่อย่างยั่งยืนเห็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน โดยการนำปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาแก้ไขและพัฒนาต่อยอดเป็นนวัตกรรมการจัดการขยะแบบครบวงจรโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ บ้าน วัด โรงเรียน(บวร)จนเป็นที่ประจักษ์ นำไปสู่การเป็นชุมชนต้นแบบในการบริหารจัดการขยะ ทั้งขยะครัวเรือน ขยะรีไซเคิล และขยะสู่อาชีพของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเทศบาลจะมีการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องต่อไป.

Loading

จังหวัดระยองทำพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย

    เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 ต.ค.นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เป็นประธานในพิธีอัญเชิญผ้าไตรพระราชทาน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานมาเพื่อประกอบพิธีทอดผ้าป่า เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต และสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ณ อุโบสถ วัดเนินพระ ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง จ.ระยอง โดยจังหวัดระยองได้เปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาในจังหวัดระยองร่วมสมทบทอดผ้าป่าสนับสนุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ระดับจังหวัด จังหวัดระยอง โดยมียอดทุนสนับสนุนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 990,999 บาท

        ทั้งนี้ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญ ในการสืบสานพระพุทธศาสนาให้เกิดความยั่งยืนโดยให้พระภิกษุและสามเณรได้ศึกษาพระธรรมอย่างแตกฉานและถ่ายทอดได้อย่างถูกต้อง ทรงเป็นผู้พระราชทานกำเนิดโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2547 พร้อมพระราชทานทุนปฐมฤกษ์ส่วนพระองค์เป็นทุนเริ่มแรก เพื่อสนับสนุนพระภิกษุและสามเณรให้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย พระปริยัติธรรมให้ลึกซึ้งแตกฉาน มีโอกาสศึกษาพระพุทธศาสนาขั้นสูงจากสถาบันพุทธศาสนาในประเทศ และนำไปเผยแผ่เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจและความคิดในการดำเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชน โดยผู้รับทุนจะต้องเป็นพระภิกษุหรือสามเณรที่มีสัญชาติไทย มีศีลาจารวัตรที่งดงามตามพระธรรมวินัย มีความประพฤติเรียบร้อย มีวิริยะอุตสาหะในการศึกษาเล่าเรียน จนสำเร็จหลักสูตร และมีจิตอาสา โดยต้องผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ของโครงการฯ และของสถานศึกษาที่ศึกษาอยู่ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ทุนเปรียญธรรม 6-9 ประโยค ทุนระดับอุดมศึกษาด้านพุทธศาสตร์ ระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอก ทุนอบรมพระนักเทศน์ ทุนอบรมพระวิปัสสนาจารย์ และทุนอบรมพระธรรมจาริก

Loading

ยุวเกษตรกรไทยสุดอินเทรนด์…ส่งสัญญานปลุกคนเกษตรรุ่นใหม่ให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิด “4-H Go For Green” ในงานวันยุวเกษตรกรโลก (Global 4-H Day) 

       กรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมเฉลิมฉลองวันยุวเกษตรกรโลก จัดกิจกรรม “งานวันยุวเกษตรกรโลก” (Global 4-H Day) นำยุวเกษตรกรไทยร่วมปฏิญาณตน เป็นคนเกษตรรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมจัดกิจกรรมสาธิตและเสวนา เชิญชวนเกษตรกรและประชาชนร่วมรับชมและร่วมกิจกรรมในรูปแบบ new normal ผ่านระบบออนไลน์ ถ่ายทอดสัญญาณผ่านเฟซบุ๊กเพจประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร

      นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยถึงการจัดกิจกรรม “งานวันยุวเกษตรกรโลก” (Global 4-H Day) ในปีนี้ว่า สืบเนื่องมาจากการประชุม The 1st Global 4-H Network Summit 2014 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ 26 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งที่ประชุมมีการรับรองกฎบัตรเครือข่ายยุวเกษตรกรโลก และประกาศปฏิญญากรุงโซล เพื่อการขับเคลื่อนงาน 4-H ร่วมกัน โดยกำหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน ของทุกปี ถือเป็น “วันยุวเกษตรกรโลก (Global 4-H Day)” เพื่อให้การดำเนินงานขับเคลื่อนงานยุวเกษตรกร (4-H) ของทุกประเทศทั่วโลกมีความเจริญก้าวหน้า ซึ่งประเทศไทยโดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้มีการดำเนินงานส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มยุวเกษตรกรมาโดยตลอด และเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้กำหนดจัดงานวันยุวเกษตรกรโลกขึ้น ในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ภายใต้แนวคิด “4-H Go For Green” ที่มีความหมายถึง ยุวเกษตรกรไทยรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมของโลกในปัจจุบัน ที่กำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภาคการเกษตรก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญหนึ่งที่จะช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ 

“การจัดงานในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานยุวเกษตรกร (4-H) ของประเทศไทยให้เป็นที่รับรู้ในวงกว้างแล้ว ยังมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของยุวเกษตรกร เพื่อให้สมาชิกยุวเกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมกิจกรรม และยังถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองวันยุวเกษตรกรโลกไปพร้อมๆ กับประเทศสมาชิกที่มีการดำเนินงานยุวเกษตรกร (4-H) ทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งการจัดงานในปีนี้ยังคงเป็นการจัดงานในรูปแบบใหม่ตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ ถ่ายทอดสัญญาณจากกรมส่งเสริมการเกษตร ผ่านเฟซบุ๊กเพจประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งสมาชิกกลุ่มยุวเกษตรกรจะเข้ามามีส่วนร่วมผ่านระบบ zoom ในขณะที่เกษตรกรและประชาชนทั่วไปก็สามารถรับชมและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก ไลฟ์”

        นางอุบล มากอง ผู้อำนวยการกองพัฒนาเกษตรกร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากกิจกรรมพิธีเปิดที่ตัวแทนยุวเกษตรกรจะได้นำยุวเกษตรกรทั่วประเทศร่วมกล่าวคำปฏิญาณตนแล้ว ยังมีการสาธิตกิจกรรมกลุ่มยุวเกษตรกร ภายใต้แนวคิด : “ 4-H Go For Green” ได้แก่ กิจกรรมการผลิตอาหารสัตว์ลดต้นทุน กิจกรรมจิตอาสาอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และกิจกรรมการขยายพันธุ์ไม้ประดับโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของภาคการเกษตร ที่ต้องการการปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำการเกษตรเพื่อให้มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งการลดต้นทุนการผลิต การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และยังมีกิจกรรมการเสวนา หัวข้อ “ยุวเกษตรกรไทยรักโลก รักษ์สิ่งแวดล้อม” พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ชมการถ่ายทอดสัญญาณได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมกับการตอบปัญหาชิงรางวัลด้วย

      รับชมการถ่ายทอดสัญญาน “งานวันยุวเกษตรกรโลก  Global 4-H Day” พร้อมกัน ในวันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เวลา 09.30-12.00 น.ผ่านเฟซบุ๊กเพจ ประชาสัมพันธ์ กรมส่งเสริมการเกษตร.